เมื่อเร็วๆนี้ คำว่า “มาเฟีย” ได้กลายมาเป็นคำที่ชาวไทยเราได้ยินกันจนชินหู หลังจากมีข่าวเกี่ยวกับ “มาเฟียโบ๊เบ๊” รวมไปถึงมาเฟียในอีกหลายแห่งทั่วประเทศไทยเรา กระนั้น เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่อาจจะยังไม่รู้แน่ชัด ถึงที่มาของคำที่ฟังดูช่างดูทรงอำนาจและน่ากลัวอย่าง “มาเฟีย” และวันนี้คอลัมน์ WEST ของเราก็จะพาคุณผู้อ่านไปร่วมผจญภัยในโลกแห่งมาเฟียกัน
“มาเฟีย” ชื่อนี้มีที่มา
“มาเฟีย” โดยดั้งเดิมแล้ว คือชื่อเรียกของกลุ่มพันธมิตรแบบหลวมๆในซีชีลี ซึ่งในยุคกลางพวกเขาได้รวมพลังกันเพื่อต่อต้านชาวเติร์กและชาวนอร์มัน จนในภายหลังได้กลายเป็นชื่อเรียกองค์กรลับต่างๆในอิตาลี สำหรับที่มาของคำว่า “มาเฟีย”นั้น ยังคงไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร เนื่องจากมีเรื่องเล่าถึงที่มาที่หลากหลายแตกต่างกันไปเหลือเกิน โดยความเชื่อแรกนั้นว่ากันว่า มาเฟีย มีที่มาจากคำคุณศัพท์คำว่า Mafiosoในภาษาอิตาลีซึ่งใช้เรียกสมาชิกในกลุ่มอิทธิพล โดย Mafioso มีความหมายว่า “ชายแห่งเกียรติยศ” เริ่มใช้กันในศตวรรษที่ 18 โดยเดิมทีนั้น คำว่า มาเฟียเป็นคำที่มีความหมายแสดงถึง ความสวยงาม ความยอดเยี่ยม และความสมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะกลายเป็นคำที่หมายถึงองค์กรอาชญากรรมอย่างในปัจจุบัน
นอกจากนั้น ยังมีการสันนิษฐานกันว่า “มาเฟีย” อาจจะมาจากคำขวัญที่ว่า “Morte alla Francia Italia anela” ที่มีใจความว่า “ความตายของคนฝรั่งเศสคือการร่ำไห้แห่งอิตาลี” โดยเป็นการนำอักษรตัวแรกของแต่ละคำมารวมไว้เข้าด้วยกัน ซึ่งผู้ที่อ้างถึงที่มาอันนี้ก็คือ อดีตเจ้าพ่อมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ในสหรัฐฯ ดอน โยเซฟ โบนันโน ผู้ที่เล่าว่าคำขวัญดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปี 1282 เมื่อชาวซีชีลีได้ลุกฮือต่อต้านฝรั่งเศส
โบนันโนเล่าว่า ในตอนนั้นมีทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งไปข่มขืนเด็กสาวชาวซิซิลี และเมื่อแม่ของเด็กรู้เรื่องเข้า จึงวิ่งออกไปบนถนนในเมืองปาเลร์โม พร้อมกับร่ำไห้เป็นภาษาอิตาลีว่า “ma fia” ซึ่งมีความหมายว่า “ลูกสาวของฉัน” ด้วยเหตุนี้ บรรดาชายหนุ่มในเมืองปาเลร์โมจึงรุมสังหารทหารฝรั่งเศสนายนั้นเพื่อล้างแค้น
ส่วนที่มาสุดท้ายก็คือ ทฤษฎีที่มีความเก่าแก่มากที่สุด โดยแนวความคิดนี้เชื่อกันว่า มาเฟียเเพี้ยนเสียงจากคำในภาษาอาหรับที่ว่า “mu afah” โดย “mu” มีความหมายว่า ความแข็งแรง หรือเครื่องป้องกัน ส่วน “afah” มีความหมายว่า “คุ้มครอง หรือป้องกัน” เมื่อรวมกันแล้วจึงเป็นคำที่สื่อถึงความหมายในการให้ความคุ้มครองแก่บรรดา สมาชิก เพราะในศตวรรษที่ 9 นั้น ซีชีลีอยู่ภายใต้การปกครองครองของกองกำลังอาหรับที่กดขี่ และชาวซีชีลีจึงจำต้องเข้าไปหลบตามเขา ต่อมา ชาวซีชีลีจึงได้รวมตัวกันจัดตั้งองค์กรลับขึ้น
“อิตาลี” แหล่งกำเนิดมาเฟีย
ในอิตาลีอันเป็นต้นกำเนิดของมาเฟียนั้น กลุ่มองค์กรอาชญากรรมอย่างมาเฟียได้ปรากฏอยู่มาเป็นเวลานานหลายศตวรรษแล้ว แต่จะแตกต่างกันไปตามท้องที่และยุคสมัย จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษที่ 1950 มาเฟียที่เคยมีฐานอยู่ตามชนบทได้กระจายตัวออกไปตามเมืองใหญ่ต่างๆ ก่อนจะกลายมาเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ประกอบธุรกิจมืดต่างๆ เช่น การค้ายาเสพติด และค้าโสเภณี และมาเฟียในแบบฉบับของอิตาลีนั้น จะทำกันเป็นครอบครัวหรือเครือญาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเกาะซีชีลี ของอิตาลี และเมืองใหญ่อื่นๆในอิตาลี
กระนั้น ในช่วงที่อิตาลีอยู่ใต้การปกครองระบอบเผด็จการฟาสซิสต์นั้น เซซาร์ โมรี ผู้ปกครองเมืองปาเลร์โมก็ได้ใช้กำลังปราบบรรดามาเฟีย จนทำให้บรรดาสมาชิกมาเฟียถูกคุมขัง บ้างก็หนีออกไปนอกประเทศ โดยส่วนใหญ่หนีไปที่สหรัฐฯ และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯยกกำลังบุกอิตาลีและเกาะซีชีลีเมื่อปี 1943 นั้น สหรัฐฯเองก็ได้ใช้ประโยชน์จากบรรดามาเฟียที่ถูกขังคุกอยู่ในสหรัฐฯในการช่วย เบิกทาง และภายหลังจากชนะสงคราม บรรดามาเฟียเหล่านี้ก็ได้รับการตอบแทนจากสหรัฐฯด้วยการส่งตัวกลับประเทศ และกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในยุคหลังเผด็จการ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 นั้น ได้เกิดการต่อสู้ฆ่าฟันกันระหว่างกลุ่มต่างๆอยู่บ่อยครั้ง ทำให้บรรดามาเฟียที่มีชื่อเสียงถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก และเมื่อมาเฟียรุ่นเก่าจากไป มาเฟียรุ่นใหม่จึงเกิดขึ้นตามมา มาเฟียในรุ่นหลังนี้มักจะเป็นกลุ่มระดับ พนักงานคอปกขาว (White collar) แทน จนสื่อในอิตาลีได้พากันเรียกมาเฟียยุคใหม่นี้ว่า “La Cosa Nuova” ที่มีความหมายว่า “สิ่งใหม่”
ล่าสุด จากการเปิดเผยขององค์การค้าชั้นนำในอิตาลีนั้นระบุว่า 20 % ของธุรกิจทั้งหมดในอิตาลีนั้น ถูกควบคุมโดยมาเฟีย และมีผลตอบแทนต่อปีสูงถึง 133,000,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) โดยบรรดามาเฟียจะเอาผลกำไรที่ได้มานี้ ไปลงทุนต่อในธุรกิจเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์ คลินิก บ้านพักคนชรา ซูเปอร์มาร์เกต โรงแรม และร้านอาหาร
มาเฟียในอิตาลีนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของการเข้าไปมีอิทธิพลในสถาบันการ เมือง และข้าราชการต่างๆ ด้วยการติดสินบนผสมกับการสร้างความกลัวให้เกิดขึ้น ซึ่งผู้ที่ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของมาเฟียก็มักจะจบชีวิตลง เช่น เมื่อปี 1992 ผู้พิพากษา เปาโล บอร์เซลลีโน และอัยการ จิโอวานนี ฟัลคอน ก็ถูกสังหาร โดยที่ทั้งสองคนต่างเป็นผู้ที่ต่อต้านมาเฟีย
บทสรุปแห่ง “มาเฟีย”
ปัจจุบันนี้ “มาเฟีย” ไม่ได้อยู่แต่เพียงในอิตาลีเท่านั้น แต่อยู่ในหลายๆประเทศทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐฯที่เป็นเป้าหมายของบรรดามาเฟียที่หลบหนีออกจากอิตาลี ในช่วงที่ถูกรัฐบาลเผด็จการกวาดล้างอย่างหนัก และจากวันนั้นจนถึงวันนี้มาเฟียอิตาลียังคงฝังตัวอยู่ทั่วสหรัฐฯโดยเฉพาะใน นครนิวยอร์กและชิคาโก โดยผ่านทั้งช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์และตกต่ำ
กระนั้น ในอีกมุมหนึ่ง ปัจจุบัน“มาเฟีย”หาได้หมายถึงกลุ่มอาชญากรจากอิตาลีเท่านั้นเพราะเรานิยม เรียกกลุ่มอาชญากรขนาดใหญ่ทั่วไปว่ามาเฟียด้วยเช่นกัน เช่น มาเฟียรัสเซีย มาเฟียฮ่องกง มาเฟียโบ๊เบ๊ หรือแม้แต่กลุ่มมาเฟียตามโรงเรียนต่างๆทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ เราอาจจะกล่าวได้ว่า มาเฟียนั้นได้แทรกซึมตัวอยู่ในทุกหนทุกแห่ง แต่หากจะถามว่าต้นฉบับของมาเฟียนั้นมาจากที่ใด ก็คงจะตอบได้ว่าคือ มาเฟียแห่งเกาะซีชีลีของอิตาลีนั้นเอง
ข้อมูลจาก
ผู้จัดการออนไลน์
“มาเฟีย” ชื่อนี้มีที่มา
“มาเฟีย” โดยดั้งเดิมแล้ว คือชื่อเรียกของกลุ่มพันธมิตรแบบหลวมๆในซีชีลี ซึ่งในยุคกลางพวกเขาได้รวมพลังกันเพื่อต่อต้านชาวเติร์กและชาวนอร์มัน จนในภายหลังได้กลายเป็นชื่อเรียกองค์กรลับต่างๆในอิตาลี สำหรับที่มาของคำว่า “มาเฟีย”นั้น ยังคงไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร เนื่องจากมีเรื่องเล่าถึงที่มาที่หลากหลายแตกต่างกันไปเหลือเกิน โดยความเชื่อแรกนั้นว่ากันว่า มาเฟีย มีที่มาจากคำคุณศัพท์คำว่า Mafiosoในภาษาอิตาลีซึ่งใช้เรียกสมาชิกในกลุ่มอิทธิพล โดย Mafioso มีความหมายว่า “ชายแห่งเกียรติยศ” เริ่มใช้กันในศตวรรษที่ 18 โดยเดิมทีนั้น คำว่า มาเฟียเป็นคำที่มีความหมายแสดงถึง ความสวยงาม ความยอดเยี่ยม และความสมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะกลายเป็นคำที่หมายถึงองค์กรอาชญากรรมอย่างในปัจจุบัน
นอกจากนั้น ยังมีการสันนิษฐานกันว่า “มาเฟีย” อาจจะมาจากคำขวัญที่ว่า “Morte alla Francia Italia anela” ที่มีใจความว่า “ความตายของคนฝรั่งเศสคือการร่ำไห้แห่งอิตาลี” โดยเป็นการนำอักษรตัวแรกของแต่ละคำมารวมไว้เข้าด้วยกัน ซึ่งผู้ที่อ้างถึงที่มาอันนี้ก็คือ อดีตเจ้าพ่อมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ในสหรัฐฯ ดอน โยเซฟ โบนันโน ผู้ที่เล่าว่าคำขวัญดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปี 1282 เมื่อชาวซีชีลีได้ลุกฮือต่อต้านฝรั่งเศส
โบนันโนเล่าว่า ในตอนนั้นมีทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งไปข่มขืนเด็กสาวชาวซิซิลี และเมื่อแม่ของเด็กรู้เรื่องเข้า จึงวิ่งออกไปบนถนนในเมืองปาเลร์โม พร้อมกับร่ำไห้เป็นภาษาอิตาลีว่า “ma fia” ซึ่งมีความหมายว่า “ลูกสาวของฉัน” ด้วยเหตุนี้ บรรดาชายหนุ่มในเมืองปาเลร์โมจึงรุมสังหารทหารฝรั่งเศสนายนั้นเพื่อล้างแค้น
ส่วนที่มาสุดท้ายก็คือ ทฤษฎีที่มีความเก่าแก่มากที่สุด โดยแนวความคิดนี้เชื่อกันว่า มาเฟียเเพี้ยนเสียงจากคำในภาษาอาหรับที่ว่า “mu afah” โดย “mu” มีความหมายว่า ความแข็งแรง หรือเครื่องป้องกัน ส่วน “afah” มีความหมายว่า “คุ้มครอง หรือป้องกัน” เมื่อรวมกันแล้วจึงเป็นคำที่สื่อถึงความหมายในการให้ความคุ้มครองแก่บรรดา สมาชิก เพราะในศตวรรษที่ 9 นั้น ซีชีลีอยู่ภายใต้การปกครองครองของกองกำลังอาหรับที่กดขี่ และชาวซีชีลีจึงจำต้องเข้าไปหลบตามเขา ต่อมา ชาวซีชีลีจึงได้รวมตัวกันจัดตั้งองค์กรลับขึ้น
“อิตาลี” แหล่งกำเนิดมาเฟีย
ในอิตาลีอันเป็นต้นกำเนิดของมาเฟียนั้น กลุ่มองค์กรอาชญากรรมอย่างมาเฟียได้ปรากฏอยู่มาเป็นเวลานานหลายศตวรรษแล้ว แต่จะแตกต่างกันไปตามท้องที่และยุคสมัย จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษที่ 1950 มาเฟียที่เคยมีฐานอยู่ตามชนบทได้กระจายตัวออกไปตามเมืองใหญ่ต่างๆ ก่อนจะกลายมาเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ประกอบธุรกิจมืดต่างๆ เช่น การค้ายาเสพติด และค้าโสเภณี และมาเฟียในแบบฉบับของอิตาลีนั้น จะทำกันเป็นครอบครัวหรือเครือญาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเกาะซีชีลี ของอิตาลี และเมืองใหญ่อื่นๆในอิตาลี
กระนั้น ในช่วงที่อิตาลีอยู่ใต้การปกครองระบอบเผด็จการฟาสซิสต์นั้น เซซาร์ โมรี ผู้ปกครองเมืองปาเลร์โมก็ได้ใช้กำลังปราบบรรดามาเฟีย จนทำให้บรรดาสมาชิกมาเฟียถูกคุมขัง บ้างก็หนีออกไปนอกประเทศ โดยส่วนใหญ่หนีไปที่สหรัฐฯ และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯยกกำลังบุกอิตาลีและเกาะซีชีลีเมื่อปี 1943 นั้น สหรัฐฯเองก็ได้ใช้ประโยชน์จากบรรดามาเฟียที่ถูกขังคุกอยู่ในสหรัฐฯในการช่วย เบิกทาง และภายหลังจากชนะสงคราม บรรดามาเฟียเหล่านี้ก็ได้รับการตอบแทนจากสหรัฐฯด้วยการส่งตัวกลับประเทศ และกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในยุคหลังเผด็จการ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 นั้น ได้เกิดการต่อสู้ฆ่าฟันกันระหว่างกลุ่มต่างๆอยู่บ่อยครั้ง ทำให้บรรดามาเฟียที่มีชื่อเสียงถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก และเมื่อมาเฟียรุ่นเก่าจากไป มาเฟียรุ่นใหม่จึงเกิดขึ้นตามมา มาเฟียในรุ่นหลังนี้มักจะเป็นกลุ่มระดับ พนักงานคอปกขาว (White collar) แทน จนสื่อในอิตาลีได้พากันเรียกมาเฟียยุคใหม่นี้ว่า “La Cosa Nuova” ที่มีความหมายว่า “สิ่งใหม่”
ล่าสุด จากการเปิดเผยขององค์การค้าชั้นนำในอิตาลีนั้นระบุว่า 20 % ของธุรกิจทั้งหมดในอิตาลีนั้น ถูกควบคุมโดยมาเฟีย และมีผลตอบแทนต่อปีสูงถึง 133,000,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) โดยบรรดามาเฟียจะเอาผลกำไรที่ได้มานี้ ไปลงทุนต่อในธุรกิจเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์ คลินิก บ้านพักคนชรา ซูเปอร์มาร์เกต โรงแรม และร้านอาหาร
มาเฟียในอิตาลีนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของการเข้าไปมีอิทธิพลในสถาบันการ เมือง และข้าราชการต่างๆ ด้วยการติดสินบนผสมกับการสร้างความกลัวให้เกิดขึ้น ซึ่งผู้ที่ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของมาเฟียก็มักจะจบชีวิตลง เช่น เมื่อปี 1992 ผู้พิพากษา เปาโล บอร์เซลลีโน และอัยการ จิโอวานนี ฟัลคอน ก็ถูกสังหาร โดยที่ทั้งสองคนต่างเป็นผู้ที่ต่อต้านมาเฟีย
บทสรุปแห่ง “มาเฟีย”
ปัจจุบันนี้ “มาเฟีย” ไม่ได้อยู่แต่เพียงในอิตาลีเท่านั้น แต่อยู่ในหลายๆประเทศทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐฯที่เป็นเป้าหมายของบรรดามาเฟียที่หลบหนีออกจากอิตาลี ในช่วงที่ถูกรัฐบาลเผด็จการกวาดล้างอย่างหนัก และจากวันนั้นจนถึงวันนี้มาเฟียอิตาลียังคงฝังตัวอยู่ทั่วสหรัฐฯโดยเฉพาะใน นครนิวยอร์กและชิคาโก โดยผ่านทั้งช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์และตกต่ำ
กระนั้น ในอีกมุมหนึ่ง ปัจจุบัน“มาเฟีย”หาได้หมายถึงกลุ่มอาชญากรจากอิตาลีเท่านั้นเพราะเรานิยม เรียกกลุ่มอาชญากรขนาดใหญ่ทั่วไปว่ามาเฟียด้วยเช่นกัน เช่น มาเฟียรัสเซีย มาเฟียฮ่องกง มาเฟียโบ๊เบ๊ หรือแม้แต่กลุ่มมาเฟียตามโรงเรียนต่างๆทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ เราอาจจะกล่าวได้ว่า มาเฟียนั้นได้แทรกซึมตัวอยู่ในทุกหนทุกแห่ง แต่หากจะถามว่าต้นฉบับของมาเฟียนั้นมาจากที่ใด ก็คงจะตอบได้ว่าคือ มาเฟียแห่งเกาะซีชีลีของอิตาลีนั้นเอง
ข้อมูลจาก
ผู้จัดการออนไลน์