มีขีดสองขีด ปรากฎชัดขึ้นมาบนแผ่นทดสอบ ฉันร้องไห้โฮ อยากตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด เป็นไปได้อย่างไรที่ฉันท้อง ฉันถูกไอ้คนใจชั่วข่มขืนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
วันที่พ่อด่าทออย่างรุนแรง และไล่ฉันออกจากบ้าน เพื่อนคนหนึ่งพาฉันเข้ากรุงเทพเพื่อฝากทำงานในร้านขายอาหารย่านฝั่งธนฯ ฉันมีหน้าที่เสริฟอาหารและเครื่องดื่มให้ลูกค้า สี่วันแรกทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น ฉันเริ่มทำงานได้คล่องแคล่วมากขึ้น แต่ใจก็ยังอยากกลับบ้าน คิดถึงแม่ และหายโกรธพ่อแล้ว อยากรู้ว่าถ้ากลับไปบ้าน พ่อจะยังโกรธ จะไล่ฉันอีกไหม
วันที่ห้าของการทำงาน อยู่ๆ ลูกค้าคนหนึ่งก็ถามขึ้นมาว่าคืนนี้ไปนอนกับเขาได้ไหม เขากระเป๋าหนักนะ ฉันสั่นหน้าด้วยความตกใจ ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง รีบกลับเข้าหลังร้าน สักพักเฮียเจ้าของร้านเดินเข้ามาตาม เขาบอกให้ฉันไปกับลูกค้า ห้ามปฏิเสธ เด็กเสริฟทุกคนต้องทำงานนี้ทั้งนั้น ฉันไม่ยอม เฮียไม่ได้บอกฉันก่อน และถ้าฉันรู้ฉันจะไม่ทำงานร้านนี้อย่างแน่นอน
“หนูออกก็ได้” ฉันโพล่งออกไปเพราะหัวเด็ดตีนขาดฉันก็จะไม่ทำอย่างนี้
“ใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวปิดร้านแล้วค่อยคุยกัน” เฮียเสียงอ่อนลงก่อนเดินกลับไปหน้าร้าน
เที่ยงคืนกว่า ร้านปิดแล้ว เฮียนั่งดื่มเบียร์รอคุยกับฉัน พอฉันนั่งลงปุ๊ป เด็กในร้านคนหนึ่งก็วางแก้วเบียร์ให้ตรงหน้า
“ใจเย็นๆ จิบเบียร์เย็นๆ แล้วคุยกันไปเรื่อยๆ เรื่องทุกเรื่องตกลงกันได้” เฮียพูด
ฉันเคยลองกินเบียร์กับ เพื่อนๆ ไม่ค่อยชอบเพราะมันขมมากกว่าอร่อย แต่ก็ยกแก้วขึ้นจิบด้วยความเกรงใจ เฮียชวนคุย ถามเรื่องทางบ้าน เรื่องโน้นเรื่องนี้ เวลาผ่านไปแค่เดี๋ยวเดียวฉันเริ่มรู้สึกง่วงนอนอย่างรุนแรง เสียงเฮียบอกว่าง่วงก็ไปนอนก่อนแล้วกัน จะเดินไปส่งห้องพักซึ่งอยู่หลังร้าน
ฉันก้าวเข้าไปในห้องพัก เฮียเดินตามมาประชิดตัว แล้วหัวฉันก็หมุนติ้ว มองอะไรไม่เห็น สติดับวูบ พอเริ่มรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมา เฮียนั่งอยู่ปลายเตียง เขาบอกว่าเพิ่งรู้ว่าฉันยังบริสุทธิ์อยู่ ขอโทษที่ทำลายฉัน ขอรับผิดชอบทุกอย่าง แล้วเขาก็ลุกขึ้น บอกว่าเดี๋ยวจะกลับเข้ามา ฉันฉุกคิดขึ้นในใจ ถ้าเขากลับมาพร้อมคนอื่นๆอีกล่ะ ฉันกำลังจะถูกรุมโทรมหรือเปล่า เรื่องราวที่เคยอ่านในหนังสือพิมพ์แว่บเข้ามาในหัว
สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ฉันรีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วเดินเลาะออกไปทางหลังร้าน มอเตอร์ไซด์รับจ้างวิ่งผ่านมา ฉันรีบเรียกให้ไปส่งหน้าปากซอย ฉันโทรไปหาลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกัน เขาย้ายมาอยู่กรุงเทพนานแล้ว แต่บ้านอยู่ไกลเกือบถึงพระประแดง เขาบอกทางให้ฉันขึ้นรถเมล์ไปหา
ฉันอยู่กับเขาได้เกือบเดือน ก็เดินทางกลับบ้านเพราะญาติส่งข่าวมาว่าพ่อหายโกรธแล้ว ฉันกลับไปเรียนหนังสือต่อเพราะเปิดเทอมพอดี ทุกเย็นพอเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษต่อเหมือนเดิม ชีวิตกลับเข้าสู่ความปกติอีกครั้ง มีเพียงลูกพี่ลูกน้องที่กรุงเทพคนเดียวเท่านั้นที่ฉันเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไร ขึ้นกับฉันบ้าง เราสัญญากันว่าจะเก็บเป็นความลับ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป
ฉันกลับบ้านได้เกือบสอง เดือน เพิ่งสังเกตว่าเมนส์ไม่มานานแล้ว พยายามนึกทบทวนถึงครั้งสุดท้ายที่เมนส์มา น่าจะสองสามเดือนมาแล้ว หรือว่าฉันจะท้อง
ฉันก้มลงมองขีดสองขีดบนแผ่น ทดสอบอีกครั้ง ความคิดหมุนติ้ว ถ้าฉันเข้ากรุงเทพไปบอกเฮีย เขาจะยอมรับหรือเปล่าว่าเป็นลูกของเขา เขาจะเชื่อหรือว่าฉันไม่มีแฟน ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับใคร แล้วฉันจะต้องออกจากโรงเรียน หมดอนาคตไปเลยหรือเปล่า น้ำตาเริ่มไหล ฉันตั้งใจจะเรียนให้สูง พ่อแม่ก็ตั้งใจอย่างนั้นเพราะเขาเหลือลูกเพียงคนเดียว พี่ชายสองคนตายจากไปเพราะรถชนกันเมื่อปีที่แล้ว พ่อแม่ตั้งใจทุ่มเทให้ฉันเต็มที่ ฉันจะทำอย่างไรดี ตอนนี้ฉันท้องสามเดือนแล้วใช่ไหม สารพัดคำถามวิ่งวนอยู่ในหัว
หลายวันต่อมา ฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่าต้องเอาออก ต้องหยุดการท้องนี้ให้ได้ ฉันไปที่ร้านขายยาที่เคยซื้อแผ่นทดสอบ ดูเหมือนไม่ต้องพูดอะไรมากคนขายก็จัดยามาให้เป็นชุด เขาบอกให้กินจนหมดทั้ง 6 เม็ด ถ้ายังไม่ออกให้กลับมาหาใหม่ ฉันกินยาทุกอย่างตามที่ร้านขายยาแนะนำ เริ่มตั้งแต่ยาอะไรไม่รู้จำนวน 6 เม็ด ต่อด้วยยาสตรีกับเหล้าขาวอีกหนึ่งอาทิตย์ ตามด้วยยาแผงละ 100 บาทที่มีแผงละ 10 เม็ดอีก 1 แผง ก็ยังไม่ออก ในที่สุดฉันตัดสินใจเล่าเรื่องให้อาจารย์คนหนึ่งที่สนิทกันฟัง ตอนแรกอาจารย์อยากให้ไปแจ้งความ จะได้ไปขอให้หมอที่โรงพยาบาลทำแท้งให้ได้ แต่ฉันไม่กล้า ฉันไม่อยากให้ใครมารู้ว่าฉันโดนข่มขืน ในที่สุดอาจารย์รับปากว่าจะคิดหาทางช่วยเหลือแต่ยังอยากให้ฉันลองคุยกับแม่ ฉันยังไม่กล้าอยู่ดี
เพื่อนในกลุ่มก็พยายามหา ทางช่วย ครั้งหนึ่งเพื่อนให้ไปยืนบนสะพานสูงสัก 10 เมตรเห็นจะได้แล้วก็ถีบฉันตกน้ำ บางครั้งก็ให้ซ้อนมอเตอร์ไซด์แล้วพาไปทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ อีกคนแนะนำให้สูบบุหรี่ จากที่ไม่เคยสูบฉันกลายเป็นคนสูบได้คล่อง แต่สูบไปเป็นสิบๆ ซองก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นอาจารย์ให้เงินมาสี่พันบาท ฉันเอาเงินเก็บของตัวเองมาสมทบอีกสองพันรวมเป็นหกพันบาท เพื่อเดินทางไปอีกอำเภอหนึ่งที่เพื่อนไปสืบมาว่ามีบ้านที่รับทำแท้ง คืนนั้นฉันนอนร้องไห้ ในใจหนึ่งรู้สึกสงสารเด็กเพราะเริ่มดิ้นแล้ว ใจหนึ่งก็กลัวไปตาย ยังไม่ได้คุยกับแม่ แล้วถ้าตายไปพ่อแม่จะทำอย่างไร เขาจะไม่เหลือลูกไว้ดูแลยามแก่เฒ่าเลย อีกใจหนึ่งก็รู้สึกฮึดว่าต้องรอด ต้องได้กลับมาเรียนจนจบพร้อมเพื่อนๆ ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจว่าต้องเสี่ยง ตายเป็นตาย ยังไงก็ต้องลองดู
ราวกับอยู่ในฉากหนังไทย สมัยก่อน บ้านนั้นเป็นบ้านไม้โทรมๆ มียายแก่ๆนั่งอยู่ในบ้าน แกถามว่ากี่เดือนแล้ว ฉันบอกจะหกเดือนแล้ว แกบอกสบายมาก แปดเดือนยังเคยช่วยมาแล้ว ยายให้ฉันเปลี่ยนไปใส่ผ้าถุง นอนบนเสื่อเก่าๆ ชันขาขึ้น แล้วแกก็ใช้มือล้วงเข้าไปในช่องคลอด ถุงมือก็ไม่ได้ใส่ แต่ตอนนั้นฉันไม่นึกถึงความสะอาดหรือสกปรกอะไรทั้งสิ้นทั้งปวง ยายบอกว่าจะใส่สายยางเข้าไปในมดลูกและฉีดน้ำยาอะไรสักอย่าง
แต่เวลาก็ผ่านไปถึงสี่ ชั่วโมงโดยยังไม่สามารถสอดสายยางเข้าไปได้ ฉันเริ่มเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลามีเลือดไหลไม่ยอมหยุด ยายให้เพื่อนฉันคอยหั่นมะนาวจิ้มเกลือให้ฉันกินทั้งเปลือก ในที่สุดก็บอกว่าสายยางเข้าไปได้แล้ว แกเริ่มฉีดน้ำยากลิ่นเหม็นอย่างกับยาฉีดศพ ฉันเริ่มรู้สึกร้อนภายในท้อง ยายบอกว่าให้ลุกขึ้นได้ ใส่ผ้าอนามัยเอาไว้กันเลือดและน้ำยาไหลออกมาเลอะเทอะ หลังจากนี้จะแท้งเอง แต่ถ้ายังไม่แท้งให้กลับมาจะรับผิดชอบทำต่อให้
ฉันอ่อนเปลี้ยไปหมดทั้ง ร่างกายและจิตใจ พยายามไม่คิดอะไรมาก มุ่งอยู่อย่างเดียวว่าต้องแก้ปัญหาให้ได้ คืนนั้นฉันไม่กล้ากลับบ้าน ไปนอนที่บ้านเพื่อน วันรุ่งขึ้นมีเลือดออกมาจากช่องคลอดเต็มไปหมด กลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นน้ำหนอง ฉันกลัวแทบขาดใจรีบไปที่โรงพยาบาล พอหมอมาดูปุ๊บก็ด่าฉันเสียใหญ่โต ฉันยอมรับกับหมอว่าไปทำแท้งมา อ้อนวอนให้ช่วยฉันที ในที่สุดหมอก็ยอมฉีดยาให้ ฉันต้องฉีดยาทุก 4 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้นเขาพาฉันไปอัลตราซาวน์ ปรากฎว่าเด็กยังอยู่ปกติดีทุกอย่าง หมอบอกว่าเหมือนปิดประตูฉีดน้ำ ไม่เข้าในมดลูกเลย แต่เข้าไปในช่องท้อง ทำลายอวัยวะทุกส่วน ถ้ามาช้ากว่านี้จะตกเลือดจนช็อค ตายได้เลย หมอบอก
ฉันนอนอยู่โรงพยาบาลรวมสาม คืน ไม่มีใครมาเฝ้า แม่รู้แล้วเพราะให้ลูกพี่ลูกน้องไปบอก แต่แม่คงไม่กล้ามาเพราะกลัวพ่อจะรู้ เป็นช่วงเวลาที่ใจมันช้ำที่สุด เห็นคนไข้คนอื่นมีญาติมาดูแล พยาบาลก็พูดจาดีๆด้วย ส่วนฉัน พยาบาลแทบจะไม่มาจับต้องตัวเลย
พอออกจากโรงพยาบาล ฉันกลับเข้าบ้าน ใส่สเตย์รัดท้องเอาไว้ บอกพ่อว่าจะเข้ากรุงเทพมาหาญาติ พ่ออนุญาต
“กลับมาคนเดียวนะ” แม่กระซิบบอกกำชับ
จากนั้นเพื่อนคนหนึ่งก็พา เข้ากรุงเทพ ตามคำแนะนำของอาจารย์ที่อ่านเจอในนิตยสารว่ามีบ้านพักฉุกเฉินอยู่ที่ ดอนเมือง ตอนนี้ฉันยังพักอยู่ที่บ้านพักนี้ ยังไม่แน่ใจนักว่าจะยกเด็กหรือจะเลี้ยงเอง ช่วงแรกๆ ที่รู้ว่าท้อง ฉันเคยดุด่า ไล่ให้เขาออกไปจากท้องฉัน เคยทุบ เคยตี จนตัวเองเจ็บ แต่หลังๆมานี่ ฉันเริ่มสงสาร พูดจาดีๆ กับเขา ยังไงก็อุ้มเขามาเจ็ดแปดเดือนแล้ว
ฉันนึกย้อนกลับไปดูปัญหา ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะมีชะตาชีวิตอย่างนี้ ฉันไม่เคยเที่ยวเตร่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยคบเพื่อนชาย เป็นเด็กเรียน ช่วยอาจารย์ทำกิจกรรมมาตลอด มาทบทวนดู จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจทำแท้งมันมาจาก 2 อย่าง อันดับแรกเลยฉันกลัวพ่อแม่อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน อย่างที่สองก็คืออนาคตของฉันเอง ถ้าเก็บเด็กไว้ ฉันก็ต้องหยุดเรียน เพื่อนๆ เรียนกันจบ แต่ฉันกลับเรียนไม่จบ จะกลายเป็นตัวประหลาดที่ถูกชาวบ้านจับตามองและซุบซิบนินทา
นี่คือเรื่องราวของก้อย ในหนังสือ มีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง : เสียงจากผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เรื่องราวประสบการณ์ของหญิงสาวที่ก้าวพลาดยังมีอีกเพียบ ติดตามเรื่องราวอุทาหรณ์ดีดี ของหญิงสายที่ก้าวพลาดได้ใน มีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง : เสียงจากผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม ได้ในตอนต่อไป........ แล้วคุณจะรู้ว่าสังคมไท้ได้ทีแต่ด้านดีเสมอไป ......
ข้อมูลจาก
สสส.
วันที่พ่อด่าทออย่างรุนแรง และไล่ฉันออกจากบ้าน เพื่อนคนหนึ่งพาฉันเข้ากรุงเทพเพื่อฝากทำงานในร้านขายอาหารย่านฝั่งธนฯ ฉันมีหน้าที่เสริฟอาหารและเครื่องดื่มให้ลูกค้า สี่วันแรกทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น ฉันเริ่มทำงานได้คล่องแคล่วมากขึ้น แต่ใจก็ยังอยากกลับบ้าน คิดถึงแม่ และหายโกรธพ่อแล้ว อยากรู้ว่าถ้ากลับไปบ้าน พ่อจะยังโกรธ จะไล่ฉันอีกไหม
วันที่ห้าของการทำงาน อยู่ๆ ลูกค้าคนหนึ่งก็ถามขึ้นมาว่าคืนนี้ไปนอนกับเขาได้ไหม เขากระเป๋าหนักนะ ฉันสั่นหน้าด้วยความตกใจ ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง รีบกลับเข้าหลังร้าน สักพักเฮียเจ้าของร้านเดินเข้ามาตาม เขาบอกให้ฉันไปกับลูกค้า ห้ามปฏิเสธ เด็กเสริฟทุกคนต้องทำงานนี้ทั้งนั้น ฉันไม่ยอม เฮียไม่ได้บอกฉันก่อน และถ้าฉันรู้ฉันจะไม่ทำงานร้านนี้อย่างแน่นอน
“หนูออกก็ได้” ฉันโพล่งออกไปเพราะหัวเด็ดตีนขาดฉันก็จะไม่ทำอย่างนี้
“ใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวปิดร้านแล้วค่อยคุยกัน” เฮียเสียงอ่อนลงก่อนเดินกลับไปหน้าร้าน
เที่ยงคืนกว่า ร้านปิดแล้ว เฮียนั่งดื่มเบียร์รอคุยกับฉัน พอฉันนั่งลงปุ๊ป เด็กในร้านคนหนึ่งก็วางแก้วเบียร์ให้ตรงหน้า
“ใจเย็นๆ จิบเบียร์เย็นๆ แล้วคุยกันไปเรื่อยๆ เรื่องทุกเรื่องตกลงกันได้” เฮียพูด
ฉันเคยลองกินเบียร์กับ เพื่อนๆ ไม่ค่อยชอบเพราะมันขมมากกว่าอร่อย แต่ก็ยกแก้วขึ้นจิบด้วยความเกรงใจ เฮียชวนคุย ถามเรื่องทางบ้าน เรื่องโน้นเรื่องนี้ เวลาผ่านไปแค่เดี๋ยวเดียวฉันเริ่มรู้สึกง่วงนอนอย่างรุนแรง เสียงเฮียบอกว่าง่วงก็ไปนอนก่อนแล้วกัน จะเดินไปส่งห้องพักซึ่งอยู่หลังร้าน
ฉันก้าวเข้าไปในห้องพัก เฮียเดินตามมาประชิดตัว แล้วหัวฉันก็หมุนติ้ว มองอะไรไม่เห็น สติดับวูบ พอเริ่มรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมา เฮียนั่งอยู่ปลายเตียง เขาบอกว่าเพิ่งรู้ว่าฉันยังบริสุทธิ์อยู่ ขอโทษที่ทำลายฉัน ขอรับผิดชอบทุกอย่าง แล้วเขาก็ลุกขึ้น บอกว่าเดี๋ยวจะกลับเข้ามา ฉันฉุกคิดขึ้นในใจ ถ้าเขากลับมาพร้อมคนอื่นๆอีกล่ะ ฉันกำลังจะถูกรุมโทรมหรือเปล่า เรื่องราวที่เคยอ่านในหนังสือพิมพ์แว่บเข้ามาในหัว
สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ฉันรีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วเดินเลาะออกไปทางหลังร้าน มอเตอร์ไซด์รับจ้างวิ่งผ่านมา ฉันรีบเรียกให้ไปส่งหน้าปากซอย ฉันโทรไปหาลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกัน เขาย้ายมาอยู่กรุงเทพนานแล้ว แต่บ้านอยู่ไกลเกือบถึงพระประแดง เขาบอกทางให้ฉันขึ้นรถเมล์ไปหา
ฉันอยู่กับเขาได้เกือบเดือน ก็เดินทางกลับบ้านเพราะญาติส่งข่าวมาว่าพ่อหายโกรธแล้ว ฉันกลับไปเรียนหนังสือต่อเพราะเปิดเทอมพอดี ทุกเย็นพอเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษต่อเหมือนเดิม ชีวิตกลับเข้าสู่ความปกติอีกครั้ง มีเพียงลูกพี่ลูกน้องที่กรุงเทพคนเดียวเท่านั้นที่ฉันเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไร ขึ้นกับฉันบ้าง เราสัญญากันว่าจะเก็บเป็นความลับ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป
ฉันกลับบ้านได้เกือบสอง เดือน เพิ่งสังเกตว่าเมนส์ไม่มานานแล้ว พยายามนึกทบทวนถึงครั้งสุดท้ายที่เมนส์มา น่าจะสองสามเดือนมาแล้ว หรือว่าฉันจะท้อง
ฉันก้มลงมองขีดสองขีดบนแผ่น ทดสอบอีกครั้ง ความคิดหมุนติ้ว ถ้าฉันเข้ากรุงเทพไปบอกเฮีย เขาจะยอมรับหรือเปล่าว่าเป็นลูกของเขา เขาจะเชื่อหรือว่าฉันไม่มีแฟน ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับใคร แล้วฉันจะต้องออกจากโรงเรียน หมดอนาคตไปเลยหรือเปล่า น้ำตาเริ่มไหล ฉันตั้งใจจะเรียนให้สูง พ่อแม่ก็ตั้งใจอย่างนั้นเพราะเขาเหลือลูกเพียงคนเดียว พี่ชายสองคนตายจากไปเพราะรถชนกันเมื่อปีที่แล้ว พ่อแม่ตั้งใจทุ่มเทให้ฉันเต็มที่ ฉันจะทำอย่างไรดี ตอนนี้ฉันท้องสามเดือนแล้วใช่ไหม สารพัดคำถามวิ่งวนอยู่ในหัว
หลายวันต่อมา ฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่าต้องเอาออก ต้องหยุดการท้องนี้ให้ได้ ฉันไปที่ร้านขายยาที่เคยซื้อแผ่นทดสอบ ดูเหมือนไม่ต้องพูดอะไรมากคนขายก็จัดยามาให้เป็นชุด เขาบอกให้กินจนหมดทั้ง 6 เม็ด ถ้ายังไม่ออกให้กลับมาหาใหม่ ฉันกินยาทุกอย่างตามที่ร้านขายยาแนะนำ เริ่มตั้งแต่ยาอะไรไม่รู้จำนวน 6 เม็ด ต่อด้วยยาสตรีกับเหล้าขาวอีกหนึ่งอาทิตย์ ตามด้วยยาแผงละ 100 บาทที่มีแผงละ 10 เม็ดอีก 1 แผง ก็ยังไม่ออก ในที่สุดฉันตัดสินใจเล่าเรื่องให้อาจารย์คนหนึ่งที่สนิทกันฟัง ตอนแรกอาจารย์อยากให้ไปแจ้งความ จะได้ไปขอให้หมอที่โรงพยาบาลทำแท้งให้ได้ แต่ฉันไม่กล้า ฉันไม่อยากให้ใครมารู้ว่าฉันโดนข่มขืน ในที่สุดอาจารย์รับปากว่าจะคิดหาทางช่วยเหลือแต่ยังอยากให้ฉันลองคุยกับแม่ ฉันยังไม่กล้าอยู่ดี
เพื่อนในกลุ่มก็พยายามหา ทางช่วย ครั้งหนึ่งเพื่อนให้ไปยืนบนสะพานสูงสัก 10 เมตรเห็นจะได้แล้วก็ถีบฉันตกน้ำ บางครั้งก็ให้ซ้อนมอเตอร์ไซด์แล้วพาไปทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ อีกคนแนะนำให้สูบบุหรี่ จากที่ไม่เคยสูบฉันกลายเป็นคนสูบได้คล่อง แต่สูบไปเป็นสิบๆ ซองก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นอาจารย์ให้เงินมาสี่พันบาท ฉันเอาเงินเก็บของตัวเองมาสมทบอีกสองพันรวมเป็นหกพันบาท เพื่อเดินทางไปอีกอำเภอหนึ่งที่เพื่อนไปสืบมาว่ามีบ้านที่รับทำแท้ง คืนนั้นฉันนอนร้องไห้ ในใจหนึ่งรู้สึกสงสารเด็กเพราะเริ่มดิ้นแล้ว ใจหนึ่งก็กลัวไปตาย ยังไม่ได้คุยกับแม่ แล้วถ้าตายไปพ่อแม่จะทำอย่างไร เขาจะไม่เหลือลูกไว้ดูแลยามแก่เฒ่าเลย อีกใจหนึ่งก็รู้สึกฮึดว่าต้องรอด ต้องได้กลับมาเรียนจนจบพร้อมเพื่อนๆ ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจว่าต้องเสี่ยง ตายเป็นตาย ยังไงก็ต้องลองดู
ราวกับอยู่ในฉากหนังไทย สมัยก่อน บ้านนั้นเป็นบ้านไม้โทรมๆ มียายแก่ๆนั่งอยู่ในบ้าน แกถามว่ากี่เดือนแล้ว ฉันบอกจะหกเดือนแล้ว แกบอกสบายมาก แปดเดือนยังเคยช่วยมาแล้ว ยายให้ฉันเปลี่ยนไปใส่ผ้าถุง นอนบนเสื่อเก่าๆ ชันขาขึ้น แล้วแกก็ใช้มือล้วงเข้าไปในช่องคลอด ถุงมือก็ไม่ได้ใส่ แต่ตอนนั้นฉันไม่นึกถึงความสะอาดหรือสกปรกอะไรทั้งสิ้นทั้งปวง ยายบอกว่าจะใส่สายยางเข้าไปในมดลูกและฉีดน้ำยาอะไรสักอย่าง
แต่เวลาก็ผ่านไปถึงสี่ ชั่วโมงโดยยังไม่สามารถสอดสายยางเข้าไปได้ ฉันเริ่มเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลามีเลือดไหลไม่ยอมหยุด ยายให้เพื่อนฉันคอยหั่นมะนาวจิ้มเกลือให้ฉันกินทั้งเปลือก ในที่สุดก็บอกว่าสายยางเข้าไปได้แล้ว แกเริ่มฉีดน้ำยากลิ่นเหม็นอย่างกับยาฉีดศพ ฉันเริ่มรู้สึกร้อนภายในท้อง ยายบอกว่าให้ลุกขึ้นได้ ใส่ผ้าอนามัยเอาไว้กันเลือดและน้ำยาไหลออกมาเลอะเทอะ หลังจากนี้จะแท้งเอง แต่ถ้ายังไม่แท้งให้กลับมาจะรับผิดชอบทำต่อให้
ฉันอ่อนเปลี้ยไปหมดทั้ง ร่างกายและจิตใจ พยายามไม่คิดอะไรมาก มุ่งอยู่อย่างเดียวว่าต้องแก้ปัญหาให้ได้ คืนนั้นฉันไม่กล้ากลับบ้าน ไปนอนที่บ้านเพื่อน วันรุ่งขึ้นมีเลือดออกมาจากช่องคลอดเต็มไปหมด กลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นน้ำหนอง ฉันกลัวแทบขาดใจรีบไปที่โรงพยาบาล พอหมอมาดูปุ๊บก็ด่าฉันเสียใหญ่โต ฉันยอมรับกับหมอว่าไปทำแท้งมา อ้อนวอนให้ช่วยฉันที ในที่สุดหมอก็ยอมฉีดยาให้ ฉันต้องฉีดยาทุก 4 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้นเขาพาฉันไปอัลตราซาวน์ ปรากฎว่าเด็กยังอยู่ปกติดีทุกอย่าง หมอบอกว่าเหมือนปิดประตูฉีดน้ำ ไม่เข้าในมดลูกเลย แต่เข้าไปในช่องท้อง ทำลายอวัยวะทุกส่วน ถ้ามาช้ากว่านี้จะตกเลือดจนช็อค ตายได้เลย หมอบอก
ฉันนอนอยู่โรงพยาบาลรวมสาม คืน ไม่มีใครมาเฝ้า แม่รู้แล้วเพราะให้ลูกพี่ลูกน้องไปบอก แต่แม่คงไม่กล้ามาเพราะกลัวพ่อจะรู้ เป็นช่วงเวลาที่ใจมันช้ำที่สุด เห็นคนไข้คนอื่นมีญาติมาดูแล พยาบาลก็พูดจาดีๆด้วย ส่วนฉัน พยาบาลแทบจะไม่มาจับต้องตัวเลย
พอออกจากโรงพยาบาล ฉันกลับเข้าบ้าน ใส่สเตย์รัดท้องเอาไว้ บอกพ่อว่าจะเข้ากรุงเทพมาหาญาติ พ่ออนุญาต
“กลับมาคนเดียวนะ” แม่กระซิบบอกกำชับ
จากนั้นเพื่อนคนหนึ่งก็พา เข้ากรุงเทพ ตามคำแนะนำของอาจารย์ที่อ่านเจอในนิตยสารว่ามีบ้านพักฉุกเฉินอยู่ที่ ดอนเมือง ตอนนี้ฉันยังพักอยู่ที่บ้านพักนี้ ยังไม่แน่ใจนักว่าจะยกเด็กหรือจะเลี้ยงเอง ช่วงแรกๆ ที่รู้ว่าท้อง ฉันเคยดุด่า ไล่ให้เขาออกไปจากท้องฉัน เคยทุบ เคยตี จนตัวเองเจ็บ แต่หลังๆมานี่ ฉันเริ่มสงสาร พูดจาดีๆ กับเขา ยังไงก็อุ้มเขามาเจ็ดแปดเดือนแล้ว
ฉันนึกย้อนกลับไปดูปัญหา ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะมีชะตาชีวิตอย่างนี้ ฉันไม่เคยเที่ยวเตร่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยคบเพื่อนชาย เป็นเด็กเรียน ช่วยอาจารย์ทำกิจกรรมมาตลอด มาทบทวนดู จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจทำแท้งมันมาจาก 2 อย่าง อันดับแรกเลยฉันกลัวพ่อแม่อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน อย่างที่สองก็คืออนาคตของฉันเอง ถ้าเก็บเด็กไว้ ฉันก็ต้องหยุดเรียน เพื่อนๆ เรียนกันจบ แต่ฉันกลับเรียนไม่จบ จะกลายเป็นตัวประหลาดที่ถูกชาวบ้านจับตามองและซุบซิบนินทา
นี่คือเรื่องราวของก้อย ในหนังสือ มีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง : เสียงจากผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เรื่องราวประสบการณ์ของหญิงสาวที่ก้าวพลาดยังมีอีกเพียบ ติดตามเรื่องราวอุทาหรณ์ดีดี ของหญิงสายที่ก้าวพลาดได้ใน มีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง : เสียงจากผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม ได้ในตอนต่อไป........ แล้วคุณจะรู้ว่าสังคมไท้ได้ทีแต่ด้านดีเสมอไป ......
ข้อมูลจาก
สสส.